
อาณาเขต
วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร มีเนื้อที่ ๒๙ ไร่ ๓ งาน ๕๕.๑ ตารางวา ตามโฉนดเลขที่ ๒๒๗๖๒ และ ๒๒๗๖๓ ลักษณะพื้นที่ราบเรียบสี่เหลี่ยม มีอาณาเขตอุปจารดังนี้
๑. ทิศตะวันออก มีอาณาเขตจรดถนนประชาธิปก
๒. ทิศตะวันตก มีอาณาเขตจรดคลองสาธารณะ
๓. ทิศเหนือ มีอาณาเขตจรดถนนเทศบาลสาย ๑
๔. ทิศใต้ มีอาณาเขตจรดถนนเทศบาลสาย ๒ และโรงเรียนศึกษานารี

ประวัติวัดประยุรวงศาวาส
วัดประยุรวงศาวาส เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่ใกล้กับเชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้าฝั่งธนบุรี โดยมีเลขทะเบียนวัดที่ ๒๔ ถนนประชาธิปก แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร ก่อสร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ โดยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์(ดิศ)ขณะดำรงตำแหน่งเจ้าพระยาพระคลัง ผู้มีศรัทธาอย่างแรงกล้าในพระบวรพุทธศาสนา จึงได้อุทิศสวนกาแฟ ณ ตำบลกุฎีจีน ซึ่งเป็นที่ดินที่ได้รับพระราชทานสถาปนาขึ้นเป็นพระอารามสำหรับพระภิกษุสงฆ์และฆราวาสศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยและปฏิบัติธรรม เมื่อปีชวดสัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๑๙๐ พ.ศ. ๒๓๗๑ ใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า ๘ ปี จึงแล้วเสร็จในปี พ.ศ.๒๓๗๙ และได้มีการฉลองวัดในวันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๓๗๙ ตรงกับวันศุกร์ เดือนยี่ ขึ้น ๗ ค่ำ ดังหลักฐานที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์(ขำ บุนนาค)บุตรของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ บันทึกไว้ว่า “ครั้นลุถึงศักราช ๑๑๙๘ ปีวอก อัฐศก เป็นปีที่ ๑๓ ครั้นมาถึงวันศุกร์ เดือนยี่ ขึ้น ๗ ค่ำ เจ้าพระยาพระคลังมีการฉลองวัดประยุรวงศาวาส พระสงฆ์ในวัดได้ปืนเปรียมกระสุน ๕ นิ้วชำรุดหูพะเนียงหักทิ้งอยู่ในวัดบอก ๑ เอาทำไฟพะเนียงจุด....”

นอกจากนี้ยังตรงกับข้อความในจดหมายเหตุเรื่องมิชชันนารีอเมริกันเข้ามาประเทศสยามโดยนายแพทย์ แดน บีช บรัดเลย์ (Dan Beach Bradley) มีใจความในจดหมายเหตุนั้นว่า “วันนี้มีการฉลองวัดอันงดงามของสมเด็จองค์ใหญ่*(สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์)บิดาของท่านผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน(สมเด็จเจ้าพระยา บรมมหาศรีสุริยวงศ์) มีการมหรสพมากมายหลายอย่าง ประชาชนมาประชุมกันมากมายหลายพัน ทั้งชาวพระนครและสัญจรมาจากที่ต่างๆ ของประเทศ”
* จดหมายเหตุมีการตรวจชำระใหม่ เมื่อนายแพทย์บรัดเลย์จัดพิมพ์ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงเรียกว่าสมเด็จองค์ใหญ่ เนื่องจากในช่วงเวลาฉลองวัดประยุรวงศ์ ยังดำรงตำแหน่งเจ้าพระยาพระคลัง(ข้อมูลจากหนังสือประวัติวัดประยุรวงศาวาส พ.ศ.๒๔๗๑)

รู้หรือไม่
พ.ศ. ๒๓๗๑ ซึ่งเป็นปีแรกสร้างของวัดประยุรวงศาวาสนั้น ตรงกับปีเกิดของเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) หรือเจ้าคุณทหาร ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานปู่คนโตของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ ที่เกิดจากสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) กับ ท่านผู้หญิงกลิ่น
เริ่มต้น ณ แรกสร้าง
เรื่องราวของการสร้างวัดประยุรวงศาวาสนั้น นับเป็นหนึ่งในสิ่งที่ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ) ตั้งใจอุทิศชีวิตเพื่อสร้างคุณประโยชน์นานัปการให้แก่บ้านเมืองและพระศาสนาตลอดระยะเวลาของการรับใช้เบื้องพระยุคลบาทพระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์ ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ โดยมุ่งหวังที่จะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง และความสงบสุขร่มเย็นแก่ทั้งอาณาจักรและพุทธจักร ย้อนกลับไปในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ บ้านเมืองสยามในเวลานั้นสงบสุขร่มเย็น ด้วยว่างเว้นจากศึกสงครามมาเป็นระยะเวลาพอสมควร อีกทั้งการค้าขายทั้งภายในและภายนอกประเทศ ก็เริ่มเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ ประกอบกับพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ ทรงมีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอนันต์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระอารามหลวงใหม่ ๓ พระอาราม ได้แก่ วัดเทพธิดาราม วัดราชนัดดาราม และวัดเฉลิมพระเกียรติราชวรวิหาร จังหวัดนนทบุรี ตลอดจนทรงสถาปนาและปฏิสังขรณ์พระอาราม พระพุทธปฏิมา ถาวรวัตถุ และเสนาสนะเพื่อเป็นพุทธบูชาและสังฆบูชาอีกจำนวนมาก เช่น วัดนางนอง วัดปากน้ำภาษีเจริญ วัดยานนาวา และวัดราชโอรสาราม ฯลฯ เป็นต้น
นอกเหนือจากวัดในพระบรมราชูปถัมภ์ดังที่กล่าว ยังทรงชักชวน เหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ตลอดจนเสนาบดีขุนนางผู้ใหญ่ ให้ช่วยกันสร้างและปฏิสังขรณ์วัดวาอารามขึ้นอีกมากมายเช่นกัน ทำให้เกิดประเพณีของการสร้างวัดในที่ดินของตนขึ้น เพื่อใช้เป็นวัดประจำตระกูลแก่ลูกหลานสืบไป เช่น เจ้าพระยาบดินทรเดชา(สิงห์)ต้นสกุล สิงหเสนี ได้บูรณปฏิสังขรณ์วัดสามปลื้มถวายเป็นพระอารามหลวง ใน พ.ศ.๒๓๖๒ แล้วได้รับพระราชทานชื่อว่า “วัดจักรวรรดิราชาวาส” ในขณะที่เจ้าพระยานิกรบดินทร์(โต)ต้นสกุลกัลยาณมิตร ได้อุทิศที่ดินตำบลกุฎีจีน สร้างวัดถวายเป็นพระอารามหลวง ใน พ.ศ.๒๓๖๘ ได้รับพระราชทานชื่อว่า “วัดกัลยาณมิตร”

วัดประยุรวงศาวาส นับเป็นพระอารามเพียงแห่งเดียวที่ถือเป็น “พุทธสถานประจำสมเด็จเจ้าพระยาฯ” แม้ตลอดชั่วชีวิตของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์(ดิศ)จะมีจิตศรัทธาบูรณปฏิสังขรณ์และสร้างพระอารามเป็นพุทธบูชาจำนวนมาก การสร้างวัดแห่งนี้นอกจากมีความตั้งใจยิ่งเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระอารามหลวงแล้ว ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินีพระอัครมเหสี ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ผู้มีศักดิ์เป็นป้าของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ) และอุทิศกุศลแด่เจ้าคุณพระราชพันธุ์ชั้นที่ ๑(นวล)ผู้เป็นมารดา ในปีที่สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี และเจ้าคุณพระราชพันธุ์ชั้นที่ ๑(นวล)ได้รับพระราชทานเพลิงพระศพและพระราชทานเพลิงศพเมื่อ พ.ศ.๒๓๗๑

เมื่อสร้างแล้วเสร็จได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาวัดโดยยาว ๑๗ วา(๓๕ เมตร)โดยกว้าง ๑๔ วา(๒๘ เมตร) ต่อมา พ.ศ.๒๓๙๓ จึงได้รับ พระราชทานชื่อจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า “วัดประยุรวงศาวาส” ซึ่งคล้องกันกับพระราชทินนามที่ได้รับในเวลาต่อมา โดยชื่อของวัดนั้นมีความหมายว่า “อารามแห่งวงศ์พระประยูรญาติ” ซึ่งถือเป็นเกียรติอย่างสูงแก่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์และเหล่า “ราชินิกุลบุนนาค”
เรื่องเล่าจากงานฉลองวัด
นายแพทย์แดน บีช บรัดเลย์ บันทึกไว้ว่าในงานฉลองวัดประยุรวงศาวาส ในปี พ.ศ.๒๓๗๙ นั้น ได้มีการทำไฟพะเนียงด้วยปืนใหญ่ โดยฝังโคนกระบอกปืนใหญ่ลงในแผ่นดิน เมื่อจุดชนวนขึ้น ปืนใหญ่เกิดระเบิดแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายหลายคน หมอบรัดเลย์ซึ่งในขณะนั้นได้ร่วมกับคณะมิชชันนารีเปิดที่พักของตนเองให้เป็นโอสถศาลา โดยอาศัยพื้นที่บ้านที่เจ้าพระยาพระคลัง(ดิศ)ปลูกให้ชาวต่างชาติเช่า บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาหน้าวัดประยุรวงศาวาส อยู่ห่างจากที่เกิดเหตุเพียง ๒๕๐ เมตร เจ้าพระยาพระคลัง(ดิศ)จึงให้คนตามตัวหมอบรัดเลย์ไปรักษาผู้บาดเจ็บ มีพระรูปหนึ่งกระดูกแขนแตก หมอบรัดเลย์จึงจำเป็นต้องตัดแขนของพระรูปนั้นจนประสบผลสำเร็จ บาดแผลหายสนิทในเวลาไม่นาน จึงนับได้ว่าเป็นการผ่าตัดครั้งแรกในประเทศไทยเกิดขึ้นที่วัดประยุรวงศาวาสในวันฉลองวัด ภายหลังจากอุบัติเหตุการระเบิดครั้งนั้น สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ ให้สร้างอนุสาวรีย์ปืนใหญ่ ๓ กระบอกไว้ในบริเวณอุทยานเขามอ(เขาเต่า)เพื่อเป็นการไว้อาลัยแด่ผู้เสียชีวิตโดยภายในอนุสาวรีย์มีข้อความจารึกไว้ว่า “อนุสาวรีย์นี้ได้สร้างขึ้นเมื่อปีวอก อัฐศก ศักราช ๑๑๙๘(พ.ศ.๒๓๗๙)ให้เป็นที่ระฦกแห่งปืนใหญ่ระเบิดให้เป็นที่เสียชีวิตหลายในเวลามีงานมหกรรมการฉลอง พระอารามนี้...”
กำเนิดแห่งวัดพี่...วัดน้อง
วัดประยุรวงศาวาสและวัดพิชยญาติการาม คือสองวัดสำคัญในฝั่งธนบุรี ที่นอกจากจะมีประวัติความเป็นมาอันยาวนานเคียงคู่กันมากว่า ๘ รัชกาลแล้ว ยังถือเป็นวัดพี่วัดน้อง เนื่องด้วยท่านผู้สร้างวัด ทั้งสองได้แก่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์(ดิศ บุนนาค)หรือสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ ผู้สร้างวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ(ทัต บุนนาค)หรือสมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อย ผู้สร้างวัดพิชยญาติการามวรวิหาร เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันคือ เจ้าพระยาอรรคมหาเสนา(บุนนาค)กับเจ้าคุณพระราชพันธุ์(นวล)ตลอดจนวัดทั้งสองยังได้รับพระราชทานชื่อจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ เฉกเช่นเดียวกันอีกด้วย หลักฐานการสร้างวัดยังมีที่ปรากฏในเอกสารโบราณ เพลงยาวสรรเสริญพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ซึ่งนายมี(เสมียนมี)หรือหมื่นพรหมสมพัตสร ศิษย์เอกสุนทรภู่ ได้แต่งขึ้น แล้วทูลเกล้าฯ ถวายตอนหนึ่งว่า
“ทูลเรื่องอื่นมิได้ชื่นเหมือนเรื่องวัด
เวียนแต่ตรัสถามไถ่ให้ใฝ่ฝัน
ถึงวัดนั้นวัดนี้เป็นนิรันดร์
ถึงเรื่องปั้นเขียนถากสลักกลึง
.....
คุณพระคลังสร้างใหม่ท้ายบุรี
ชื่อนพคุณทารามอร่ามศรี
ลงบัญชีชื่อวัดประยูรวงศ์
วัดพระยาศรีพิพัฒน์บัญญัตินาม
พระยาญาติการามงามระหง
ฯลฯ ฯลฯ”


ที่มาแห่ง “วัดรั้วเหล็ก”
แม้คำเรียกขานอย่างเป็นทางการของพระอารามหลวงชั้นโทแห่งนี้ ในปัจจุบันคือ “วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร” แต่หากย้อนกลับไปกว่าสองศตวรรษ ชาวพระนครที่มีนิวาสสถานอยู่ในฝั่งธนบุรี โดยทั่วไปมักเรียกวัดแห่งนี้ว่า “วัดรั้วเหล็ก” ด้วยเหตุที่มีรั้วเหล็กแวดล้อมเป็นกำแพงอยู่ตอนหน้าพระอุโบสถ พระวิหาร ศาลาการเปรียญ และเขามอ รั้วเหล็กนั้นสูงประมาณ ๓ ศอกเศษ ทำเป็นรูปอาวุธโบราณ คือ หอก ดาบ และขวาน มีสัณฐานเป็นกำแพงและ ซุ้มประตูเล็กๆเป็นตอนๆไป ล้อมอยู่ตอนหน้าอุโบสถ วิหาร และศาลาการเปรียญด้านหนึ่ง จากมุมวิหารคดอ้อมหน้าอุโบสถไปจนกำแพงประตูวัดด้านตะวันออก ยาว ๗๔ วา(๑๔๗ เมตร)ล้อมบริเวณภูเขาอีก ๒ ด้าน ด้านตะวันตก ยาว ๒๔ วา(๔๘ เมตร)ด้านใต้ ๒๑ วา ๒ ศอก(๔๓ เมตร)ล้อมเป็นกำแพงหน้าวัดตอนขวามือเข้ามา ยาว ๒๐ วา(๔๐ เมตร)ตอนซ้ายมือเข้ามา ๑๐ วา(๒๐ เมตร)ในหนังสือประวัติวัดประยุรวงศาวาส ที่จัดพิมพ์ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ ระบุว่า รั้วเหล็กนี้ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ) สั่งเข้ามาจากประเทศ อังกฤษพร้อมกับพรมผืนใหญ่และชุดโคมไฟกิ่งแก้ว เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่พระองค์ไม่โปรด สมเด็จเจ้าพระยา บรมมหาประยูรวงศ์จึงขอพระราชทานมาใช้ล้อมเป็นกำแพงพระอารามที่ตน สถาปนาขึ้นใหม่ โดยใช้น้ำตาลทรายสินค้าส่งออกของสยามอันเป็นที่ต้องการ ของตลาดโลกในเวลานั้น แลกเปลี่ยนกันตามน้ำหนักกับรั้วเหล็กแบบ “น้ำหนัก ต่อน้ำหนัก” คือ รั้วเหล็กมีน้ำหนักมากเท่าใด ก็ใช้น้ำตาลทรายน้ำหนักมาก เท่านั้นแลกเอาเรื่องรั้วเหล็กนี้ นอกจากนี้ยังมีสิ่งของที่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์สั่งมาพร้อมกันกับ รั้วเหล็กในคราวเดียวกันนั้นเพื่อทูลเกล้าฯถวาย แต่ไม่โปรดเช่นกัน อาทิโคมกิ่งแก้ว ๓ โคม ประกอบด้วยโคมใหญ่ ๑ โคมและโคมเล็ก ๒ โคม จึงนำมาแขวนไว้ในพระอุโบสถ
มีบันทึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับรั้วเหล็กหลังจากการสร้างวัด ไปแล้วราว ๕๒ ปี เมื่อคราวที่เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี(ท้วม บุนนาค)เดินทางไปกรุงลอนดอน ในฐานะอัครราชทูตพิเศษ เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๒๓ - ๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๒๓ ว่า "ได้พบรั้วเหล็กในกรุงลอนดอน มีรูปสัณฐาน เช่น รั้วเหล็กที่วัดประยุรวงศ์นี้เหมือนกันล้อมเป็นกำแพงอยู่ในเมืองหลายแห่ง"
รั้วเหล็ก...เรื่องเล่าในอีกแง่มุม
ความน่าสนใจของที่มารั้วเหล็ก ในอีกมุมหนึ่งปรากฎในบทความเรื่อง “พริฏิษ แฟกฏอรี”(British Factory)ตอนที่ ๕ ของบทความขนาดยาวเรื่อง รัตนศัพท์สงเคราะห์ เขียนโดยผู้ที่ใช้นามแฝงว่า ตวันสาย [สันนิษฐานว่า คือเจ้าพระยาภาสกรวงศ์(พร บุนนาค)] ตีพิมพ์ครั้งแรกในทวีปัญญา ฉบับประจำเดือนมกราคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๔(พุทธศักราช ๒๔๔๙)ระบุที่มาของรั้วเหล็กแตกต่างออกไปว่า ผู้ที่นำรั้วเหล็กเข้ามา คือหลวงอาวุธวิเศษประเทศพานิช หรือนายโรเบิร์ต ฮันเตอร์ (Robert Hunter) พ่อค้าชาวอังกฤษเชื้อสายสกอต หรือที่ชาวพระนครในเวลานั้นเรียกว่า “นายหันแตร” ซึ่งราวปี พ.ศ.๒๓๖๘ ได้เช่าที่ดินของเจ้าพระยาพระคลัง (สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์) บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาสร้างตึกสองชั้น ๓ หลัง เพื่อใช้เป็นโกดังเก็บสินค้าห้างสรรพสินค้า และที่พักอาศัย เรียกว่า บริติช แฟคทอรี่ (British Factory)
ครั้งหนึ่งนายหันแตรสั่งรั้วเหล็กบรรทุกเรือกำปั่นมาบอกขายในพระนคร เจ้าพนักงานได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่พระองค์ไม่โปรดด้วยมีพระราชดำริว่า ราคาแพงเกินไป สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์เห็นเป็นโอกาสดี แต่ครั้นจะซื้อไว้ก็ราคาแพง ทั้งเงินที่มีในขณะนั้นยังไม่พอซื้อ จึงเจรจาขอแลกรั้วเหล็กกับน้ำตาลทราย ในลักษณะน้ำหนักต่อน้ำหนัก และขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตนำรั้วเหล็กไปประดับ ณ วัดประยุรวงศาวาสเพื่อเป็นพุทธบูชา พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชานุญาต นายโรเบิร์ต ฮันเตอร์จึงนำรั้วเหล็กขึ้นกั้นที่หน้ากำแพงปูนรอบเขามอ และสระน้ำวัดประยุรวงศาวาส ปัจจุบันรั้วเหล็กอายุกว่า ๑๙๐ ปียังคงเป็นรั้วรอบขอบอาณาเขตให้วัดอย่างเข้มแข็งและมั่นคง แม้ บางส่วนอาจมีผุกร่อนบ้างไปตามกาลเวลา แต่ยังคงได้รับการบูรณะให้อยู่ในสภาพดีเสมอ ในขณะเดียวกัน เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งเอกลักษณ์ของรั้วเหล็กดังกล่าว เมื่อมีการจัดสร้างรั้วเหล็กเพิ่มเติมสำหรับกำหนดขอบเขต ในบริเวณอื่นๆ ภายในวัด ยังจัดให้มีการสร้างรั้วเหล็ก ซึ่งมีรูปทรงคล้ายกับรั้วเหล็กเดิม ทาสีแดง แต่มีขนาดเล็ก กว่าเพื่อให้ง่ายต่อการสังเกตถึงความแตกต่างระหว่าง รั้วดั้งเดิมและรั้วที่จัดทำขึ้นใหม่ เรียกได้ว่าถูกต้องตามหลักการบูรณะโบราณวัตถุและการจัดสร้างเพิ่มเติม ในขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มความงดงามกลมกลืนให้กับ ทัศนียภาพภายในขอบเขตพุทธาวาสอีกด้วย.
# เรียบเรียงประวัติวัด โดย คณะทีมงานจัดทำเว็บวัดประยุรวงศาวาส
# ข้อมูลจากหนังสือ ๑๙๐ ปี วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร