มหาเถรสมาคมเห็นชอบบทพระธรรมเทศนาเรื่องพหุปการกถาที่พระพรหมบัณฑิตเป็นผู้แต่งและมีมติให้วัดทั่วประเทศใช้จัดแสดงพระธรรมเทศนาในวันธรรมสวนะ
วัดประยุรวงศาวาส|กิจกรรมงานวัด'๖๓ >>>ขอเชิญเที่ยวงาน "สมโภช ๑๙๒ ปี วัดประยูรฯ" ฝั่งธน กรุงเทพฯ >>>พิธีเปิดงานสมโภช ๑๙๒ ปี วัดประยูรฯ >>>พิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศแด่อดีตเจ้าอาวาส บุรพาจารย์ >>>การเสวนา 'ชุมชนทันสมัย จิตใจพัฒนา' สมโภช ๑๙๒ ปี >>>ขอเชิญร่วมกิจกรรมงาน'วันมาฆบูชา'วัดประยูรฯ ปี ๒๕๖๓ >>>ขอเชิญทำบุญ'โครงการเข้าวัดยามเป็นเดือนกุมภาพันธ์'๖๓' >>>พิธีเวียนเทียนและฟังเทศน์ ๒ ธรรมาสน์ "วันมาฆบูชา"ปี ๖๓ >>>สอบบาลีสนามหลวง ป.ธ.๓ ปี ๒๕๖๓ วัดประยูรฯ วันแรก >>>สอบบาลีสนามหลวง ป.ธ.๓ ปี ๒๕๖๓ วัดประยูรฯ วันที่ ๒ >>>สอบบาลีสนามหลวง ป.ธ.๓ ปี ๒๕๖๓ วัดประยูรฯ วันที่ ๓ >>>ชาตกาลครบ ๑๐๘ ปี พระพุทธวรญาณ (มงคล วิโรจนมหาเถร) >>>ชาตกาลครบ ๑๐๙ ปี พระพุทธวรญาณ (มงคล วิโรจนมหาเถร) >>>การเขียนภาพจิตรกรรมฝาฝนังพระวิหารหลวงพ่อพระพุทธนาค >>>จัดเตรียมสิ่งของช่วยเหลือชาวบ้าน จากการแพร่ไวรัส COVID-19 >>>มอบสิ่งของช่วยเหลือชาวบ้าน จากการแพร่ไวรัส COVID-19 >>>ทำวัตรสวดมนต์เช้า-เย็น ร่วมกันสวดพระพุทธมนต์บทรัตนสูตร >>>รวมธรรม คำกวี พระเทพปฏิภาณกวี วัดประยูรฯ >>>ส่องกล้องมองผ่านเลนส์ถึงการเรียนการศึกษาภาษาบาลี วัดประยูรฯ >>>อุโมงค์พ่นน้ำยาป้องกันไวรัสโคโรนา (COVID-19) >>>ต้อนรับข้าราชการกระทรวงวัฒนธรรมที่มามอบให้แก่ผู้ประสบ (COVID-19) >>>คณะสงฆ์วัดประยูรฯ อนุโมทนาบุญแก่แม่ชีทองสุข นามเจ็ดสี >>>คณะสงฆ์วัดประยูรฯ อนุโมทนาบุญแก่บริษัท GULF >>>คณะสงฆ์วัดประยูรฯ อนุโมทนาบุญแก่ ดร.สนธยา กล่อมเปลี่ยน >>>กิจกรรมวันวิสาขบูชา วัดประยุรวงศาวาส ปี ๒๕๖๓ >>>ต้อนรับคณะสถาบันวะสะฏียะฮ์ เพื่อสันติภาพและการพัฒนา >>>การถวายรายงานการดำเนินการก่อสร้างโครงการพระปกเกล้าสกายปาร์ค >>>โรงพยาบาลสงฆ์ถวายเครื่องวัดความดันแก่พระสงฆ์วัดประยูรฯ >>>คณะสงฆ์วัดประยูรฯ ขออนุโมทนาบุญแก่คุณนพเดช คุณปูรณี กรรณสูต >>>อุโมงค์พ่นน้ำยาป้องกันไวรัสโคโรนา (COVID-19) ที่วัดประยูรฯ >>>พิธีเปิด 'สวนลอยฟ้าเจ้าพระยา' >>>พิธีอธิษฐานเข้าพรรษา พระสงฆ์วัดประยูรฯ ปี ๒๕๖๓ >>>พิธีทำสามีจิกรรมพระพรหมบัณฑิต กรรมการ มส (วันที่ ๑) >>>พิธีทำสามีจิกรรมพระพรหมบัณฑิต กรรมการ มส (วันที่ ๒) >>>พิธีทำสามีจิกรรมพระพรหมบัณฑิต กรรมการ มส (วันที่ ๓) >>>พิธีเปิดงานบวร On Tour ย่านกะดีจีน ชุมชนประวัติศาสตร์ >>>พิธีเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๓ >>>พิธีฉลองตราตั้งเจ้าคณะเขตภาษีเจริญ >>>พิธีเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๓ >>>งานบำเพ็ญกุศล 'อายุวัฒนมงคล ๖๕ ปี พระพรหมบัณฑิต' >>>วัดประยูรฯ จัดพิธีทำบุญเทศกาลเดือนสิบ ปี ๒๕๖๓ >>>สำนักเรียนวัดประยูรฯ เป็นสนามสอบนักธรรมชั้นตรี ปี ๒๕๖๓ >>>สอบนักธรรมชั้นตรี สนามสอบวัดประยูรฯ ปี ๒๕๖๓ >>>ขอเชิญพุทธศาสนิกชนร่วมทำบุญตักบาตรเทโวโรหณะ วัดประยูรฯ ปี ๒๕๖๓ >>>วันมหาปวารณาออกพรรษา 'กิจกรรมส่งเสริมความสามัคคีฯ' วัดประยูรฯ ปี'๖๓ >>>พิธีบำเพ็ญกุศลตักบาตรเทโวโรหณะ วัดประยูรฯ ปี ๒๕๖๓ >>>ขอเชิญร่วมทำบุญกฐินพระราชทานวัดประยุรวงศาวาส ปี ๒๕๖๓ >>>พิธีบำเพ็ญกุศลตักบาตรเทโวโรหณะ วัดประยูรฯ ปี ๒๕๖๓ >>>ขอเชิญร่วมพิธีทอดผ้าป่าสมทบทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย >>>พิธีสมโภชองค์กฐินพระราชทานบริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นเเนล จำกัด >>>ขอเชิญเที่ยวงานลอยกระทงประทีปเทียนหอม วัดประยูรฯ ประจำปี ๒๕๖๓
[ไตรมาสที่ ๔] วัดประยูรฯ|เปิดงาน'๖๓|ธรรมบรรยาย'๖๓|ปาฐกถา'๖๓|พระพรหมบัณฑิต >>>[สาราณียธรรมกถา] 'กิจกรรมส่งเสริมความสามัคคีในช่วงสถานการณ์ โควิด-๑๙' >>>[ประธาน] ในพิธีบำเพ็ญกุศลตักบาตรเทโวโรหณะ วัดประยูรฯ ปี ๒๕๖๓ >>>[บรรยาย] 'กิจการพระพุทธศาสนาในยุควิถีใหม่' >>>[สัมโมทนียกถา] 'นโยบายเพื่อการสืบสาน รักษา ต่อยอด ด้วยหลักธรรมภิบาล' >>>[ประธาน] ในพิธีทอดผ้าป่าสมทบทุนโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย >>>[ประธาน] พิธีสมโภชองค์กฐินพระราชทานบริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นเเนล จำกัด >>>[บรรยาย] 'พระพุทธศาสนากับสันติภาพ' >>>[สัมโมทนียกถา] 'ฉลองอย่างไรให้มีความสุขตลอดไป' >>>[บรรยาย] 'คุณธรรมกับการดำเนินชีวิต' >>>[ธรรมกถา] 'ธรรมปฏิสันถาร เล่าขานวัดประยูรฯ' >>>[สัมโมทนียกถา] พิธีทำบุญเนื่องในโอกาสที่ พระมหาบุญเลิศ อินฺทปญฺโญ >>>[สัมปสาทนียกถา] 'ลอยกระทงกตัญญูบูชาคุณของธรรมชาติ' >>>[ช่อง 7] บันทึกรายการตอบปัญหาธรรม >>>[สัมโมทนียกถา] บำเพ็ญกุศลอายุวัฒนมงคล ๖๐ ปี พระเทพปวรเมธี >>>[ธรรมกถา] 'ตามรอยธรรม' รายการมีเทศน์มีทอล์ค >>>[บรรยาย] 'ตุลาการตามวิถีแห่งหลักศาสนา' >>>[สัมโมทนียกถา] 'สืบสาน รักษา ต่อยอดทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย' >>>[บรรยาย] 'หลักการและวิธีการเทศน์' >>>[บรรยาย] 'นักเทศน์ปฏิภาณกับนักเทศน์ธรรมวิจัย' >>>[บรรยาย] 'ปฏิภาณกับการเทศน์' >>>[บรรยาย] 'วิธีเทศนาสาธก' >>>[บรรยาย] 'หลักการและวิธีการเผยแผ่เชิงรุก' >>>[บรรยาย] 'การใช้อุปมาประกอบการเทศน์' >>>[ต้อนรับ] กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ >>>[บรรยาย] 'ยึดแนวทางพุทธเทศนา' >>>[มติ มส] ให้วัดทั่วประเทศเทศน์'พหุปการกถา' ที่แต่งโดยพระพรหมบัณฑิต
กดดาวน์โหลด>>>พหุปการกถา ว่าด้วยความรู้รักสามัคคีมีอุปการะมาก [.docx]
กดดาวน์โหลด>>>พหุปการกถา ว่าด้วยความรู้รักสามัคคีมีอุปการะมาก [.pdf]
วันศุกร์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๔.๐๐ น. พระพรหมบัณฑิต (ป.ธ.๙, ศ.,ดร.,ราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์, อัคคหาบัณฑิต) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ประธานศูนย์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ ประธานสภาสากลวันวิสาขบูชาโลก ได้นำเสนอบทพระธรรมเทศนาเรื่อง พหุปการกถา เกี่ยวกับความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ที่พระพรหมบัณฑิตเป็นผู้แต่งโดยการสนับสนุนของคณะกรรมการจากศูนย์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้ที่ประชุมมหาเถรสมาคมพิจารณา
มหาเถรสมาคมพิจารณาแล้วให้ความเห็นชอบบทพระธรรมเทศนานี้และมีมติให้วัดทั่วประเทศใช้จัดแสดงพระธรรมเทศนาในวันธรรมสวนะเริ่มตั้งแต่วันที่ ๓๐ พฤศจิกายนเป็นต้นไป
ในวันพระวันพรุ่งนี้ ตรงกับวันจันทร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๐๐ น. วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร จะทำการถ่ายทอดสดการแสดงพระธรรมเทศนา ณ อาคารสิริภักดีธรรม ชั้น ๓ วัดประยุรวงศาวาส วรวิหาร เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร ผ่านทาง (https://www.facebook.com/Watprayoon) รวมถึงส่วนงานราชการต่างๆ จะร่วมกันถ่ายทอดสดผ่านสื่อต่างๆ ขอเชิญสาธุชนเข้าร่วมงาน และได้ติดตามชมได้จากสื่อตามวันและเวลาดังกล่าว
พหุปการกถา ว่าด้วยความรู้รักสามัคคีมีอุปการะมาก
พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) กรรมการมหาเถรสมาคม และคณะจากศูนย์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ แต่งตามมติมหาเถรสมาคมที่ ๕๗๙/๒๕๖๓ มหาเถรสมาคมมีมติเมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ให้วัดทั่วประเทศใช้จัดแสดงพระธรรมเทศนา
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ สาคารา อนาคารา จ อุโภ อญฺโญญฺญนิสฺสิตา อาราธยนฺติ สทฺธมฺมํ โยคกฺเขมํ อนุตฺตรนฺติ
ณ บัดนี้อาตมภาพจักรับประทานแสดงพระธรรมเทศนาในพหุปการกถา ว่าด้วยความรู้รักสามัคคีมีอุปการะมาก เพื่อเป็นเครื่องประคับประคองฉลองศรัทธา ประดับปัญญาบารมีอนุโมทนากุศลบุญราศีส่วนธัมมัสสวนมัยคือบุญที่ได้จากการฟังธรรมซึ่งท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้พร้อมใจกันบำเพ็ญให้เป็นไปในวันนี้
การฟังพระธรรมเทศนาตามกาลเวลาอันเหมาะสมจัดว่าเป็นมงคลคือเหตุแห่งความเจริญในชีวิต ดังพุทธภาษิตที่ว่า “กาเลน ธมฺมสฺสวนํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ” แปลความว่า “การฟังธรรมตามกาลเป็นมงคลอันสูงสุด” ทั้งนี้เพราะการฟังธรรมช่วยให้ผู้ฟังได้อานิสงส์ ๕ ประการ ดังที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงพรรณนาไว้ว่า “อสฺสุตํ สุณาติ” เป็นต้น แปลความว่า “๑. ได้ฟังเรื่องใหม่ ๒. ได้วิจัยเรื่องเก่า ๓.ได้บรรเทาข้อกังขา ๔. ได้พัฒนาความคิด ๕. ได้ทำจิตให้ผ่องใส” อานิสงส์การฟังธรรมเหล่านี้บังเกิด มีขึ้นเพราะเหตุที่การแสดงพระธรรมเทศนาประกอบด้วยวาจาสุภาษิตที่นับว่าเป็นมงคลอันสูงสุดสมดังพุทธพจน์ที่ว่า “สุภาสิตา จ ยา วาจา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ” แปลความว่า “วาจาสุภาษิตเป็นมงคลอันสูงสุด”
โอกาสนี้เป็นเวลาอันควรที่สาธุชนชาวไทยทั้งหลายจะได้ใส่ใจระลึกถึงวาจาสุภาษิตในพระบรมราโชวาทเรื่องความรู้รักสามัคคีที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรรัชกาลที่ ๙ พระราชทานไว้เมื่อพุทธศักราช ๒๕๓๔ ว่า “ประเทศของเรารักษาเอกราชอธิปไตยและอิสรภาพให้สมบูรณ์มั่นคงมาได้จนถึงทุกวันนี้ เพราะคนไทยทุกหมู่เหล่ารู้รักความสามัคคีและรู้จักทำหน้าที่ของแต่ละฝ่ายให้ประสานส่งเสริมกัน” พระบรมราโชวาทนี้แสดงให้เห็นว่าความรู้รักสามัคคีเป็นคุณธรรมสำคัญที่มีอุปการะมากเพราะช่วยให้ประเทศไทยรักษาเอกราชอธิปไตยและอิสรภาพมาได้จนถึงปัจจุบัน
ความรู้รักสามัคคีนี้จำแนกออกเป็นคุณธรรมย่อยสามประการคือความรู้ ความรัก และความสามัคคี คุณธรรมประการแรก คือ ความรู้ หมายถึงความกตัญญูรู้อุปการคุณที่คนไทยทุกหมู่เหล่าได้รับจากประเทศไทย คุณธรรมประการที่สอง คือ ความรัก หมายถึงความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และการแสดงออกซึ่งความกตเวทีคือประกาศความรักให้ปรากฏด้วยการทำปฏิการะตอบแทนคุณของสถาบันทั้งสามด้วยวิธีการต่างๆ คุณธรรมประการที่สาม คือ ความสามัคคี หมายถึง การแสดงออกอย่างพร้อมเพรียงกันในการปฏิบัติหน้าที่ถนอมรักษาและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
คำว่า สถาบันชาติ หมายรวมทั้งคนไทยและแผ่นดินไทยสถาบันศาสนาหมายถึงพระพุทธศาสนาและศาสนธรรมอื่นใดที่สร้างลักษณะนิสัยที่ดีงามให้กับคนไทยสถาบันพระมหากษัตริย์หมายถึงพระประมุขของประเทศไทยตามนัยแห่งพระบาลีที่ว่า “ราชา มุขํ มนุสฺสานํ พระราชาเป็นประมุขของปวงชน” การนิยามความหมายของสถาบันทั้งสามนี้สอดคล้องกับการที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ผู้ทรงออกแบบธงชาติไทยที่เรียกว่าธงไตรรงค์ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๖๐ ได้ทรงพระราชนิพนธ์อธิบายความหมายแห่งธงไตรรงค์ที่ประกอบด้วยสามสี คือ แดง ขาว น้ำเงิน ว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ดังต่อไปนี้
“ขอพร่ำรำพรรณบรรยาย ความคิดเครื่องหมาย แห่งสีทั้งสามงามถนัด ขาวคือบริสุทธิ์ศรีสวัสดิ์ หมายพระไตรรัตน์ และธรรมะคุ้มจิตไทย แดงคือโลหิตเราไซร้ ซึ่งยอมสละได้ เพื่อรักษะชาติศาสนา น้ำเงินคือสีโสภา อันจอมประชา ธ โปรดเป็นของส่วนองค์ จัดริ้วเข้าเป็นไตรรงค์ จึ่งเป็นสีธง ที่รักแห่งเราชาวไทย”
สถาบันทั้งสามคือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เปรียบเหมือนเสาหลักสามเส้าที่ช่วยค้ำยันประเทศไทยให้ดำรงคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้นเสาหลักสามเส้านี้ยังทำหน้าที่พยุงค้ำยันซึ่งกันและกันเพื่อให้แต่ละสถาบันสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงเช่นเดียวกับธงไตรรงค์ซึ่งประกอบด้วยแผ่นผ้าสามสีเย็บติดเป็นผืนเดียวกันอย่างชนิดที่ไม่มีวันแยกขาดจากกันการประสานสามัคคีของสถาบันทั้งสามนี้ ยังมีอยู่ตราบใดความมั่นคงและพัฒนาสถาพรของประเทศไทยก็ดำรงอยู่ได้ตราบนั้นทั้งนี้เพราะความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันทั้งสามเป็น “อญฺโญญฺญนิสฺสิตา”คือต่างฝ่ายต่างพึ่งพาอาศัยกันและกันตามหลักปฏิจจสมุปบาทที่ว่า สิ่งทั้งหลายอาศัยกันและกันเกิดขึ้น ดังพระบาลีนิกเขปบทที่ยกไว้ ณ เบื้องต้นว่า “สาคารา อนาคารา จ อุโภ อญฺโญญฺญนิสฺสิตา” เป็นต้น แปลความว่า “คฤหัสถ์และบรรพชิตทั้งสองฝ่ายต่างอาศัยกันและกันจึงทำให้พระสัทธรรมอันเกษมจากโยคะอย่างยอดเยี่ยมสำเร็จได้”
ตามนัยแห่งพระบาลีนี้คฤหัสถ์และบรรพชิตต่างฝ่ายต่างพึ่งพาอาศัยกัน กล่าวคือคฤหัสถ์อุปถัมภ์บำรุงบรรพชิตด้วยอามิสทานคือการบริจาคจตุปัจจัยไทยธรรมบำรุงพระพุทธศาสนา ในขณะเดียวกันฝ่ายบรรพชิตก็ทำปฏิการะตอบแทนฝ่ายคฤหัสถ์ด้วยธรรมทานคือเทศนาสั่งสอนธรรมคฤหัสถ์และบรรพชิตทั้งสองฝ่ายเมื่อได้ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันอย่างนี้ย่อมสามารถปฏิบัติหน้าที่ของชาวพุทธ ๔ ประการที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหาปรินิพพานสูตร ได้แก่ ๑) พหูสูตคือศึกษาธรรมจนแตกฉาน ๒) อนุธัมมจารี ปฏิบัติธรรมตามที่ได้ศึกษานั้น ๓) ธัมมเทศนา แสดงธรรมและเผยแผ่ธรรม ๔) ปรัปปวาทนิคคหะ อุปถัมภ์และปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา
โดยนัยนี้พุทธบริษัทฝ่ายคฤหัสถ์อันประกอบด้วยพระมหากษัตริย์และประชาชนทั่วไปให้การอุปถัมภ์บำรุงแก่ฝ่ายบรรพชิตเพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ทั้งสี่ประการได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ฝ่ายบรรพชิตก็ทำปฏิการะตอบแทนฝ่ายคฤหัสถ์ด้วยการสั่งสอนธรรมแก่ประชาชนให้ตั้งอยู่ในศีลธรรมทางศาสนา และถวายพระธรรมเทศนาแด่พระมหากษัตริย์เพื่อกำหนดเป็นแนวทางในการครองแผ่นดินโดยธรรมตามนัยแห่งพระบาลีในอัคคัญญสูตรที่ว่า “ธมฺเมน ปเร รญฺเชตีติ ราชา” แปลความว่า “พระราชาคือผู้ที่ทำให้ประชาชนยินดีพอใจโดยธรรม” ธรรมที่พระราชาทรงถือปฏิบัติเพื่อสร้างความยินดีพอใจแก่ประชาชนเรียกว่าทศพิธราชธรรม มี ๑๐ ประการ ประกอบด้วยทาน ศีล บริจาค ความซื่อตรง ความอ่อนโยน เป็นต้น
บทกลอนต่อไปนี้ สรุปความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกันระหว่างพุทธบริษัททั้งฝ่ายคฤหัสถ์และบรรพชิตได้เป็นอย่างดี ดังนี้
“วัดจะดี มีหลักฐาน เพราะบ้านช่วย บ้านจะสวย เพราะมีวัด ดัดนิสัย บ้านกับวัด ผลัดกันช่วย ยิ่งอวยชัย ถ้าขัดกัน ก็บรรลัย ทั้งสองทาง”
ความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกันระหว่างคฤหัสถ์และบรรพชิตดังพรรณนามานี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมให้เกิดความรู้รักสามัคคีที่ทำให้ประเทศไทยสามารถรักษาเอกราชอธิปไตย และอิสรภาพมาได้จนถึงปัจจุบันความสำคัญของความรู้รักสามัคคีเช่นว่านี้ปรากฏชัดอยู่ในบทปาฐกถาเรื่อง “ลักษณะการปกครองประเทศไทยแต่โบราณ” ที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพพระบิดาแห่งประวัติศาสตร์และโบราณคดีไทยได้แสดงไว้เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๐ ความตอนหนึ่งว่า “ชนชาติไทยมีคุณธรรมสามอย่างเป็นสำคัญ จึงสามารถปกครองประเทศไทยมาได้ คือ ความจงรักอิสระของชาติอย่างหนึ่ง ความปราศจากวิหิงสา อย่างหนึ่งความฉลาดในการประสานประโยชน์ อย่างหนึ่ง”
ในบรรดาคุณธรรมทั้งสามประการนั้น คุณธรรมประการแรกคือความรักอิสรภาพของชาตินับว่าสำคัญที่สุดในการปกป้องรักษาเอกราชอธิปไตยและอิสรภาพของชาติ ความรักอิสรภาพนี้เป็นไปตามนัยแห่งพุทธภาษิตที่ว่า “วโส อิสฺสริยํโลเก อำนาจเป็นใหญ่ในโลก” บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณปกป้องรักษาความเป็นไทคือการมีอำนาจเป็นใหญ่ในการปกครองตนเองด้วยความเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิต ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามนัยแห่งพระบาลีที่ว่า “จเช ธนํ องฺควรสฺสเหตุ” เป็นต้น แปลความว่า “บุคคลควรสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะควรสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต ควรสละทั้งทรัพย์อวัยวะและชีวิตเมื่อระลึกถึงธรรม” ตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้คือการที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงนำประชาชนชาวไทยลุกขึ้นกอบกู้อิสรภาพของแผ่นดินอีกตัวอย่างหนึ่งที่สำคัญเช่นกันคือการที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงนำพาประเทศชาติให้รอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้นของประเทศนักล่าอาณานิคม
คุณธรรมประการที่สอง คือความปราศจากวิหิงสาหมายถึงการอยู่ร่วมกันอย่างสันติโดยไม่มีการเบียดเบียนกันคนต่างชาติต่างศาสนาที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารล้วนได้รับการต้อนรับจากคนไทยด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดีสมดังพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ที่ว่า ”เป็นธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ” ความปราศจากการเบียดเบียนนี้ถือเป็นการปฏิบัติตามนัยแห่งพุทธภาษิตที่ว่า “อพฺยาปชฺฌํ สุขํ โลเก การไม่เบียดเบียนกันเป็นสุขในโลก” ดังจะเห็นได้ว่า คนไทยนิยมกล่าวคำว่า ”ไม่เป็นไร” จนติดปากอันแสดงถึงความมีน้ำใจรู้จักให้อภัยกันซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความสามัคคีปรองดองในสังคม สมด้วยบทกลอนที่ว่า
“ถ้าไม่มีการให้อภัยผิด และไม่คิดที่จะลืมซึ่งความหลัง จะหาสามัคคียากลำบากจัง ความผิดพลั้งย่อมมีทั่วทุกตัวคน”
คุณธรรมประการที่สาม คือ ความฉลาดในการประสานประโยชน์หมายถึงการเปิดโอกาสให้คนทุกหมู่เหล่าเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาชาติไทย โดยไม่มีการกีดกันเพราะเหตุแห่งเชื้อชาติ ศาสนาภาษา เป็นต้น ความฉลาดในการประสานประโยชน์นี้ทำให้เกิดการประนีประนอมในบ้านเมือง ดังที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า “เพ่งดูประโยชน์หมู่มาก ตัวยอมลำบากทุกสิ่งสรรพ์ ประนีประนอมพร้อมกันทุกวันมุ่งรักษ์สามัคคี” ด้วยเหตุนี้ สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้ารัชกาลปัจจุบัน ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐจึงทรงมีพระราชดำรัสตอบผู้สื่อข่าวต่างประเทศว่า“ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งการประนีประนอม” การประนีประนอมช่วยสร้างความสามัคคีของคนในชาติและความสามัคคีนั้นย่อมนำความสุขและความเจริญมาให้ ดังพุทธภาษิตที่ว่า “สุขา สงฺฆสฺส สามคฺคี ความพร้อมเพรียงของหมู่คณะนำสุขมาให้”
คุณธรรมสำคัญที่เสริมสร้างความรู้รักสามัคคีของคนไทยดังพรรณนามายังคงได้รับการรักษาสืบทอดต่อมาจนถึงทุกวันนี้ดังที่สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า รัชกาลปัจจุบันผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐทรงมีพระปฐมบรมราชโองการในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อพุทธศักราช ๒๕๖๒ ว่า "เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป" พร้อมกับทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้อาณาประชาราษฎรตามที่ทรงประกาศไว้ในพระปฐมบรมราชโองการดังปรากฏเป็นที่ประจักษ์ว่า พระองค์ทรงสืบสานรักษาและต่อยอดโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและแนวพระราชดำริต่าง ๆ ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป
เพื่อสืบสาน รักษา และต่อยอดมรดกธรรมทางพระพุทธศาสนาสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า รัชกาลปัจจุบันผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงมีพระราชดำรัสประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภกว่า “ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญแต่เดิมมาข้าพเจ้าได้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสและถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะด้วยวิธีนั้นๆ อยู่แล้ว ฉะนั้น บัดนี้ ข้าพเจ้าได้เถลิงถวัลยราชสมบัติบรมราชาภิเษกแล้วจึงขอมอบตัวแด่พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสังฆเจ้า จะได้รับการจัดการให้ความคุ้มครองและรักษาพระพุทธศาสนาโดยชอบธรรมตลอดไป ข้าแด่พระสงฆ์ผู้เจริญ ขอพระสงฆ์จงจำไว้ด้วยว่าข้าพเจ้าเป็นพุทธศาสนูปถัมภกเถิด” ในฐานะที่ทรงเป็นพุทธมามกะสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า รัชกาลปัจจุบันผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐทรงประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมในการครองแผ่นดินโดยธรรม ดังกรณีที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยราชการในพระองค์ร่วมกับประชาชนทุกหมู่เหล่าทำกิจกรรมจิตอาสาจนเกิดโครงการจิตอาสาพระราชทานกิจกรรมจิตอาสานี้มีผลเป็นการระดมสรรพกำลังมาร่วมกันบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ด้วยน้ำใจเสียสละโดยไม่หวังผลตอบแทนพระบรมราโชบายนี้เป็นไปตามหลักสังคหวัตถุ ๔ ประการ คือ ๑. ทาน หมายถึง การให้สิ่งของ รวมทั้งให้ธรรมทานและวิทยาทาน ๒. ปิยวาจา หมายถึง การกล่าววาจาไพเราะอ่อนหวานสมานสามัคคี รวมถึงกล่าวคำแนะนำและปลุกปลอบใจด้วยความปรารถนาดี ๓. อัตถจริยา หมายถึง การทำตนให้เป็นประโยชน์แก่สังคมรวมทั้งการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ด้วยวิธีการต่างๆ ๔. สมานัตตตา หมายถึง การวางตนพอดีเสมอต้นเสมอปลายในการติดต่อสมาคมกับผู้อื่นทั้งในยามได้ดีมีสุขหรือในยามตกทุกข์ได้ยาก สังคหวัตถุทั้งสี่ประการนี้เป็นเสมือนกาวใจที่ประสานประชาชนชาวไทยให้มีความสมัครสมานสามัคคี
ดังนั้นโครงการจิตอาสาพระราชทานจึงมีบทบาทสำคัญในการสร้างความรู้รักสามัคคีให้กับคนไทยทั้งปวงทั้งนี้เพราะกิจกรรมจิตอาสาช่วยให้คนไทยตระหนักรู้อุปการคุณของชาติมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา และมีความจงรักภักดีในสถาบันพระมหากษัตริย์นั่นคือเป็นกิจกรรมที่หล่อหลอมคนไทยให้มีความกตัญญูกตเวทีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ความกตัญญูเกิดจากความตระหนักรู้ว่าสถาบันทั้งสามมีอุปการคุณอย่างมากต่อการดำรงอยู่และความเจริญรุ่งเรืองของประเทศไทย ความกตเวที หมายถึงการทำปฏิการะตอบแทนคุณสถาบันทั้งสามนั้นความกตัญญูกตเวทีจัดว่าเป็นภูมิธรรมคือพื้นฐานของคนดีดังพระบาลีที่ว่า “สปฺปุริสภูมิ ยทิทํ กตญฺญุตา กตเวทิตา” แปลความว่า “ความกตัญญูกตเวทีเป็นคุณธรรมพื้นฐานของคนดี”
สถาบันชาติอันประกอบด้วยประชาชนคนไทยควรมีความกตัญญูคือตระหนักรู้อุปการคุณอันยิ่งใหญ่ของสถาบันพระพุทธศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ในขณะเดียวกันก็แสดงออกซึ่งความกตเวทีคือปฏิบัติหน้าที่ในการถนอม รักษาสถาบันชาติศาสนาและพระมหากษัตริย์อย่างเต็มกำลังความสามารถสมดังพระบรมพุทโธวาทที่ว่า “ธมฺมญฺจเร สุจริตํ บุคคลควรปฏิบัติธรรมคือหน้าที่ให้สุจริต” ในการปฏิบัติหน้าที่เช่นนี้คนไทยทุกคนควรตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดความสามารถโดยไม่มีการละทิ้งหน้าที่ ไม่บกพร่องในหน้าที่ ไม่ก้าวก่ายหน้าที่และไม่ทุจริตต่อหน้าที่ตราบใดที่ประชาชนยังรู้รักสามัคคีร่วมแรงร่วมใจกันปฏิบัติหน้าที่ในการถนอมรักษาสถาบันชาติสถาบันพระศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ตราบนั้นความเจริญรุ่งเรืองของประเทศไทยก็คงมีอยู่ต่อไปทั้งนี้เพราะความเสื่อมและความเจริญของสถาบันชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์มีความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกันเหมือนเสาหลักสามเส้าพยุงกันและกัน ฉะนั้นตามนัยแห่งพระบาลีนิกเขปบทที่ยกไว้ ณ เบื้องต้นว่า “สาคารา อนาคารา จ อุโภ อญฺโญญฺญนิสฺสิตา” เป็นต้น แปลความว่า “คฤหัสถ์และบรรพชิตทั้งสองฝ่ายต่างอาศัยกันและกัน” ดังพรรณนามาพอสมควรแก่เวลา
เทสนาปริโยสาเน ในอวสานเป็นที่สุดแห่งพระธรรมเทศนานี้ขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยและอานุภาพแห่งกุศลบุญราศีส่วนธัมมัสสวนมัย จงมารวมกันเป็นตบะ เดชะ พลวปัจจัยสัมฤทธิผลเป็นพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้ารัชกาลปัจจุบัน ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พร้อมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ให้ทรงเจริญพระชนมสุขสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคลทุกประการ พระบรมเดชานุภาพแผ่ไพศาล ทรงอภิบาลรักษาประเทศชาติ พระศาสนา และพระบรมราชจักรีวงศ์ ให้ดำรงวัฒนาสถาพร ตลอดจิรัฐิติกาล
รับประทานแสดงพระธรรมเทศนาในพหุปการกถา พอสมควรแก่เวลา ขอยุติลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้
เอวัง ก็มีด้วยประการะฉะนี้
วัดประยุรวงศาวาส >>>ขอเชิญเที่ยวงานลอยกระทงประทีปเทียนหอม วัดประยูรฯ ประจำปี ๒๕๖๓ >>>ขอเชิญร่วมทำบุญกฐินพระราชทานวัดประยุรวงศาวาส ปี ๒๕๖๓ >>>พิธีบำเพ็ญกุศลตักบาตรเทโวโรหณะ วัดประยูรฯ ปี ๒๕๖๓ >>>ร่วมงานแถลงข่าว“River Festival 2020 สายน้ำแห่งวัฒนธรรมไทย”ครั้งที่ ๖ >>>๕ สมเด็จพระราชาคณะ ร่วมงานสมโภช ๑๙๒ ปี วัดประยูรฯ >>>ขอเชิญเที่ยวงาน "สมโภช ๑๙๒ ปี วัดประยูรฯ" ฝั่งธน กรุงเทพฯ >>>ขอเชิญร่วมงานส่งท้ายปีเก่า ๒๕๖๒ วิถีไทยต้อนรับปีใหม่ ๒๕๖๓ >>>ขอเชิญเที่ยวงานลอยกระทง วัดประยูรฯ ประจำปี ๒๕๖๒ >>>ขอเชิญเที่ยวงาน'ประเพณีสงกรานต์'วัดประยุรวงศาวาส ปี ๒๕๖๒ >>>สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงเปิดอาคาร "สิริภักดีธรรม" >>>ขอเชิญร่วมงานส่งท้ายปีเก่า ๒๕๖๑ วิถีไทยต้อนรับปีใหม่ ๒๕๖๒ วิถีพุทธ >>>ขอเชิญเที่ยวงาน "สมโภช ๑๙๑ ปี วัดประยูรฯ" ฝั่งธน กรุงเทพฯ >>>ขอเชิญเที่ยวงาน'ประเพณีสงกรานต์'วัดประยุรวงศาวาส ปี ๒๕๖๑ >>>แถลงข่าวการจัดงานสงกรานต์ประจำปี ๒๕๖๑ Water Festival 2018 >>>๓ สมเด็จพระราชาคณะ ร่วมเจริญพระพุทธมนต์งานสมโภชวัดประยูรฯ ๑๙๐ ปี >>>เปิดงานสมโภช ๑๙๐ ปี วัดประยูรฯ อย่างอลังการ สืบสานวัฒนธรรมไทย >>>ขอเชิญเที่ยวงาน "สมโภช ๑๙๐ ปี วัดประยูรฯ" ฝั่งธน กรุงเทพฯ >>>งาน"วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ๑๘๙ ปี" >>>ขอเชิญเที่ยวงาน"สมโภช ๑๘๘ ปี วัดประยูรฯ"ปี ๒๕๕๙ >>>สมโภชพระอาราม ๑๘๘ ปี วัดประยูรฯ พ.ศ.๒๕๕๙ >>>๑๕ เมษายน"วันปีใหม่ วันเถลิงศก"วัดประยูรฯ ปี ๒๕๕๘ >>>ขอเชิญเที่ยวงาน'ประเพณีสงกรานต์ วัดประยูรฯ ๒๕๕๘ >>>WaterFestival ล่องเรือฟรี ๗ ท่าน้ำ วัดประยูร ฯ ๒๕๕๘ >>>เที่ยวงานเทศกาลสงกรานต์ วัดประยูรฯ ๒๕๕๘ >>>เที่ยวสงกรานต์ ๒๕๕๘ วัดประยุรวงศาวาส >>>ขอเชิญเที่ยวงานฉลองวัด"ประยูรฯวัดรั้วเหล็ก"๑๘๗ ปี >>>รวมภาพบรรยากาศ งานฉลองรางวัลยูเนสโก ๒๕๕๗ >>>เจดีย์วัดประยุรวงศาวาสฯ มรดกทางวัฒนธรรม >>>เจดีย์มีแกนกลางแบบอยุธยาได้รับรางวัลที่ ๑ จากยูเนสโก >>>"เจดีย์พระประธาน"วัดประยูรฯ ชนะเลิศอนุรักษ์ >>>'เจดีย์พระประธาน' วัดประยูรฯ ชนะเลิศจากยูเนสโก >>>Award of Excellence >>>วัดประยุรวงศาวาสฯ คว้ารางวัล "ยูเนสโก" >>>"วัดประยุรวงศาวาส" ในสายตา UNESCO >>>พระบรมธาตุมหาเจดีย์ วัดประยุรวงศาวาส >>>มส. มอบของยังชีพแก่ผู้ประสบอัคคีภัยชุมชนจอมทอง
เขียนเมื่อ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 | อ่าน 9597 เขียนโดย วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร