ในการสัมมนาครั้งนี้ ท่านพุทธศาสตรบัณฑิตทั้งหลายได้มาประชุมกันเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากประสบการณ์ของการปฏิบัติศาสนกิจในรอบ ๑ ปีที่ผ่านมาและจะได้พินิจพิจารณาถึงบทบาทของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยที่ส่งพวกเราออกไปปฏิบัติศาสนกิจเพื่อพัฒนาสังคม
ประโยชน์ของศาสตร์ต่างๆ ต่อสังคม
ศาสตร์ทั้งหลายต้องเป็นประโยชน์ต่อสังคมถึงจะอยู่รอดมาได้ มนุษย์คิดค้นศาสตร์ต่าง ๆขึ้นมาก็เพื่อช่วยพัฒนามนุษย์และพัฒนาสังคม ศาสตร์สาขาใดไร้ประโยชน์เพราะไม่อาจทำหน้าที่พัฒนามนุษย์และพัฒนาสังคม ศาสตร์สาขานั้นก็จะสูญพันธุ์ไปเอง พุทธศาสตร์ซึ่งเราได้ศึกษามาในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยนี้ก็เช่นเดียวกัน นั่นคือเมื่อพิสูจน์ได้ว่ายังมีประโยชน์ต่อชาวโลก คนก็คงยังศึกษากันต่อไป
มหาวิทยาลัยมหาจุฬากรณราชวิทยาลัยนี้รัชกาลที่.๕ ทรงสถาปนาให้เป็นสถานศึกษาพระไตรปิฎกและวิชาชั้นสูง ในที่นี้ คำว่า "พระไตรปิฎก" หมายถึงพุทธธรรมหรือพุทธศาสตร์ คำว่า "วิชาชั้นสูง" หมายถึง ศาสตร์สมัยใหม่สาขาต่าง ๆ ที่เราเรียนกันในมหาวิทยาลัย ผู้เป็นพุทธศาสตรบัณฑิตต้องมีความรู้ลึกซึ้งในพระธรรมคำสอนทางพุทธศาสนาและสามารถประยุกต์เข้ากับศาสตร์สาขาต่าง ๆ เมื่อพุทธศาสตรบัณฑิตมีความเป็นเลิศทางวิชาการทางด้านพุทธศาสนาบวกกับความเชี่ยวชาญในศาสตร์สาขาต่างๆแล้ว เราทำอะไรกันต่อไปหลังจากเรียนจบและได้รับปริญญา ? ศาสตร์สาขาต่าง ๆ ที่ศึกษามานั้นเราใช้ให้เป็นประโยชน์แค่ไหน นี้ก็คือสิ่งที่น่าจะได้กำหนดพินิจพิจารณา เมื่อเรียนจบศาสตร์สาขาต่าง ๆ แล้ว ท่านก็ต้องนำความรู้ไปใช้ทำประโยชน์ คำถามก็คือใช้ทำประโยชน์อะไร ? เมื่อหมอชีวกโกมารภัจเรียนวิชาแพทยศาสตร์ที่ตักกสิลาได้ ๗ ปีก็มีการสอบไล่ อาจารย์ของหมอชีวกได้ให้ข้อสอบ ๑ ข้อแก่ลูกศิษย์ที่เข้าสอบว่า ในรัศมีประมาณ ๑ โยชน์โดยรอบนี้ให้แต่ละคนไปเสาะหาดูว่าพืชชนิดใดใช้ทำยาไม่ได้ จากนั้นอาจารย์จะมาประเมินผลจากการไปแสวงหาพืชชนิดที่ใช้ทำยาไม่ได้ ว่าคนไหนควรจะจบหรือไม่
ลูกศิษย์ทั้งหลายไปเก็บพืชชนิดที่ใช้ทำยาไม่ได้มาคนละกำสองกำแล้วนำเสนออาจารย์ อาจารย์ได้แต่พยักหน้า แต่หมอชีวกกลับมามือเปล่า อาจารย์ถามว่า "ไหนล่ะพืชที่ใช้ทำยาไม่ได้" หมอชีวกตอบว่า "ผมไปพิจารณาโดยทั่วแล้ว ไม่มีพืชชนิดใดที่ใช้ทำยาไม่ได้ พืชทุกชนิดเราใช้ทำยาได้หมด" ปรากฏว่า ในบรรดานักศึกษาแพทย์รุ่นนั้นมีหมอชีวกสอบผ่านเพียงคนเดียว ทั้งนี้เพราะหมอชีวกเห็นว่าพืชทุกอย่างใช้เป็นประโยชน์ได้ทั้งสิ้น ใช้เป็นประโยชน์อะไร ? เป็นประโยชน์ตามศาสตร์สาขาที่หมอชีวกเรียนจบคือนำไปปรุงยา ผมขอถามท่านทั้งหลายว่าเมื่อเรียนจบพุทธศาสตร์แล้ว ท่านสามารถนำความรู้ทุกอย่างไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้หรือไม่ ? ผมตอบแทนท่านทั้งหลายว่าความรู้ทุกอย่างใช้เป็นประโยชน์ได้ทั้งหมดในการเทศน์การสอนและการปฏิบัติธรรม ไม่มีอะไรที่ใช้เป็นประโยชน์ในการเทศน์การสอนและการปฏิบัติธรรมไม่ได้ เหมือนกับสำนวนนิยายกำลังภายในที่ว่า "กระบี่อยู่ที่ใจ" นั่นคือไม่มีอะไรที่ยอดฝีมือจะใช้เป็นกระบี่ไม่ได้ เขาไปที่ไหนไม่ต้องพกพากระบี่ เมื่อถูกศัตรูจู่โจม เขาจะหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาแล้วแผ่กำลังภายในไปที่กิ่งไม้ทำให้กิ่งไม้แข็งเหมือนกระบี่ใช้สู้รบได้ เมื่อท่านเรียนจบหลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต ความรู้ทุกอย่างเป็นประโยชน์เกื้อกูลต่อสังคมได้ทั้งหมด เรื่องที่ดีเราก็นำเอามาสอนได้ เรื่องไม่ดีเราก็นำเอามาสอนได้ ดังที่ขงจื้อกล่าวว่า
. " เมื่อข้าพเจ้าพบเห็นคนสองคนเดินสวนทางมา
คนหนึ่งเป็นคนดี อีกคนหนึ่งเป็นคนเลว
คนสองคนเป็นครูของข้าพเจ้าได้เท่าๆกัน
พบเห็นคนดีเดินสวนทางมา ข้าพเจ้าพยายามเอาอย่างเขา
พบเห็นคนเลวเดินสวนทางมา ข้าพเจ้าพยายามไม่เอาอย่างเขา"
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกวันเป็นอุปกรณ์สอนธรรมะได้หมด ถ้าเรารู้ลึกซึ้งถึงแก่นของพระพุทธศาสนาก็ไม่มีอะไรที่เป็นปราการขวางกั้นไม่ให้เรานำเหตุการณ์เหล่านั้นไปประยุกต์สอนธรรมะ เมื่อประยุกต์สอนได้อย่างนี้ วิชาธรรมะก็จะเป็นประโยชน์เช่นเดียวกับวิชาการแพทย์ของหมอชีวก มีภาษิตสอนใจว่า "มีเงินให้เขากู้ มีความรู้อยู่ในตำรา ไม่มีประโยชน์เมื่อต้องรีบใช้" เมื่อหมอชีวกเดินทางกลับจากตักกสิลาไปยังเมืองราชคฤห์บ้านเกิดของเขานั้น อาจารย์ที่ตักกสิลาให้เสบียงติดตัวไปเพียงเล็กน้อยเพราะท่านต้องการให้หมอชีวกทดลองใช้ความรู้วิชาการแพทย์ปฏิบัติงานด้านการรักษาคนไข้ ถ้าชีวกรักษาคนไข้สำเร็จก็จะได้อาหารและที่พักในระหว่างทาง ถ้าเขารักษาไม่สำเร็จ เขาก็จะอดตาย ปรากฏว่านอกจากหมอชีวกจะไม่อดตายแล้ว เขายังมีชื่อเสียงโด่งดังเพราะเขาประสบความสำเร็จในการรักษาคนไข้ในระหว่างทาง อาจารย์ที่ตักกสิลาคนนี้ได้ส่งหมอชีวกไปทดลองปฏิบัติงานระหว่างเดินทางกลับบ้าน เช่นเดียวกับที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้ส่งพวกท่านไปไปทดลองปฏิบัติศาสนกิจเป็นเวลา.๑ ปีก่อนรับปริญญา การที่พวกท่านสามารถอยู่รอดปลอดภัยจนมาเข้าร่วมการสัมมนาครั้งนี้ได้แสดงว่าสอบผ่านการทดลองปฏิบัติงานเช่นเดียวกับหมอชีวก จึงขอแสดงความยินดีในเบื้องต้นไว้ตรงนี้ ต่อนี้ไปก็ขอให้ทุกท่านจงเจริญงอกงามไพบูลย์ในพระบวรพุทธศาสนาโดยได้เป็นพระครูเป็นเจ้าคุณกันทุกรูป
บัณฑิตทางพระพุทธศาสนา
. การทดลองปฏิบัติศาสนกิจ ๑ ปีถือว่าพวกท่านได้ใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์สมกับที่เป็นบัณฑิตทางพระพุทธศาสนา ชาวโลกวัดความเป็นบัณฑิตกันที่ระดับความรู้ นั่นคือ ผู้เรียนจบระดับปริญญาตรี เขาเรียกว่าเป็นบัณฑิต ผู้เรียนจบระดับปริญญาโทเป็นมหาบัณฑิต ผู้เรียนจบระดับปริญญาเอกเป็นดุษฎีบัณฑิต แต่พระพุทธศาสนาวัดความเป็นบัณฑิตกันที่การรู้จักใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ทิฏฺเฐ ธมฺเม จ โย อตฺโถ โย จตฺโถ สมฺปรายิโก อตฺถาถิสมยา ธีโร ปณฺฑิโตติ ปวุจจติ แปลความว่า
" ผู้มีปัญญาท่านเรียกว่าเป็นบัณฑิต เพราะรู้จักถือเอาประโยชน์ ๒ ประการคือประโยชน์ปัจจุบันเฉพาะหน้าและประโยชน์ระยะยาวในอนาคต " ท่านทั้งหลายมีความรู้ระดับปริญญาตรีแล้วจัดว่าเป็นบัณฑิตในทางโลก แต่อาจจะยังไม่เป็นบัณฑิตในทางธรรมถ้าท่านยังไม่สามารถจะเค้นเอาความรู้นั้นออกมาปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคม เมื่อท่านเป็นพุทธศาสตรบัณฑิตแล้ว ท่านต้องกลั่นเอาความรู้ที่เรียนมาเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและศาสตร์สาขาต่าง ๆ ประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคม ผมจึงขอถามท่านทั้งหลายว่าท่านสามารถใช้ความรู้ด้านพระพุทธศาสนาซึ่งอยู่ในใจของท่านให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคมได้มากน้อยเพียงใด ถ้าความรู้ที่ท่านได้ศึกษามานั้นไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ตนเองและสังคม การศึกษาระดับปริญญาตรีที่ท่านจบมานี้ก็ไม่ทำให้ท่านเป็นบัณฑิตในทางพระพุทธศาสนา ท่านเพียงแต่ได้ปริญญาบัตรมา ๑ ใบ ดังที่วิทยากร เชียงกูล เขียนบทกลอนนี้เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๑ ไว้ว่า
ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง
ฉันจึง มาหา ความหมาย
ฉันหวัง เก็บอะไรไปมากมาย
สุดท้าย ให้กระดาษฉันแผ่นเดียว
เพียงกระดาษแผ่นเดียวคือปริญญาบัตรไม่ช่วยทำให้คนเป็นบัณฑิตในทางธรรม ถ้าเขามีความรู้อยู่แต่ในตำราโดยไม่นำมาปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและสังคม พุทธศาสตรบัณฑิตที่คิดทำประโยชน์ทั้งแก่ตนเองสังคมต่างหากจึงจะเป็นบัณฑิตที่แท้จริงในทางพระพุทธศาสนา ผมขอตั้งคำถามต่อท่านทั้งหลายว่า ท่านคิดจะทำอะไรหลังจากเรียนจบได้รับปริญญาบัตรเป็นพุทธศาสตรบัณฑิตเต็มตัวแล้ว หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ได้แสดงความยินดีแก่ตนเองด้วยการเสวยวิมุตติสุขอยู่บริเวณต้นโพธิ จากนั้นพระองค์ได้ถามตนเองว่า หลังจากเสร็จกิจแห่งโพธิญาณแล้ว เราจะทำอะไรต่อไป คำตอบก็ปรากฏขึ้นว่า เราจะนำธรรมที่เราตรัสรู้นี้ไปประกาศเปิดเผยทำให้เป็นประโยชน์แก่ชาวโลก
ดังนั้น หลังจากตรัสรู้แล้วพระพุทธเจ้าได้เสด็จออกโปรดสัตว์โลกตลอดเวลา ๔๕ ปีโดยไม่เคยผ่อนพัก พระพุทธองค์จึงเป็นพระบรมศาสดา การที่พระพุทธเจ้าตัดสินพระทัยเผยแผ่พระพุทธศาสนาประกาศธรรมนั้นแหละเป็นการแสดงให้เห็นว่า ความรู้ที่เราค้นพบนั้นจะเป็นประโยชน์ก็ต่อเมื่อเรารู้จักคิดถึงคนอื่น คิดถึงสังคม คิดถึงชาวโลก ต่อคำถามที่ว่าเราเรียนรับปริญญาทำไม คำตอบก็คือเราเรียนเพื่อทำประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและสังคม เราต้องคิดว่าจะนำเอาพุทธศาสตร์ที่เรามีความรู้ความเชี่ยวชาญนี้ไปทำประโยชน์อะไรได้บ้าง คือทำประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่นและประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ประโยชน์ตนรียกว่าอัตตัตถะ ประโยชน์ผู้อื่นรียกว่าปรัตถะ ส่วนประโยชน์ทั้งสองฝ่ายหรือประโยชน์ส่วนรวมเรียกว่าอุภยัตถะ ท่านทั้งหลายต้องคิดว่าท่านจะนำความรู้ไปทำประโยชน์อะไรจึงจะสมศักดิ์ศรีที่เป็นพุทธศาสตรบัณฑิต ท่านจะทำประโยชน์ที่ไหนไม่สำคัญ ข้อสำคัญคือต้องทำประโยชน์ให้สมกับที่เรามีความรู้ระดับปริญญา
พระพุทธศาสนาเพื่อสังคม
อาจจะมีบางคนตั้งข้อสงสัยว่า พระสงฆ์จำเป็นต้องทำประโยชน์เพื่อสังคมด้วยหรือ ในเมื่อคำว่าบรรพชาแปลว่าเว้นทั่วคือสละทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เมื่อท่านสละโลกแล้วทำไมต้องมาวนเวียนอยู่ในโลก พระสงฆ์เป็นอนาคาริกแปลว่าผู้ไม่มีเรือนคือไม่มีครอบครัว แม้แต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยก็ห้ามไม่ให้พระสงฆ์ใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๑๐๖ บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ในวันเลือกตั้ง เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง คือ
(๑) วิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ
(๒) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช
(๓) ต้องคุมขังอยู่โดยหมายของศาลหรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
(๔) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง"
เป็นที่น่าสังเกตว่ารัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านมาได้จัดประเภทพระภิกษุสามเณรไว้ในกลุ่มเดียวกับคนวิกลจริต คือเป็นผู้ไม่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งด้วยกัน เมื่อพระสงฆ์ไทยไม่มีสิทธิพื้นฐานที่สำคัญอย่างนี้แล้วจะให้ท่านมีหน้าที่ช่วยเหลือสังคมได้อย่างไร หน้าที่ของพระสงฆ์เรียกว่าธุระมี ๒ อย่าง คือคันถธุระและวิปัสสนาธุระ การศึกษาคัมภีร์พระพุทธศาสนาจัดเป็นคันถธุระ การปฏิบัติกัมมัฏฐานจัดเป็นวิปัสสนาธุระ ท่านพุทธศาสตรบัณฑิตได้ทำธุระคือหน้าที่ทั้งสองประการแล้ว นั่นคือท่านทำคันถธุระด้วยการเรียนคัมภีร์พระไตรปิฎกและทำวิปัสสนาธุระด้วยการเข้าปฏิบัติกัมมัฏฐาน ธุระหรือหน้าที่ของพระสงฆ์มีเพียง ๒ อย่างเท่านั้น ไม่มีข้อกำหนดใดระบุว่าพระสงฆ์ต้องมีสังคหธุระคือหน้าที่สงเคราะห์ชาวโลก เพราะฉะนั้น ชาวพุทธบางประเทศส่งเสริมให้พระสงฆ์เรียนคันถธุระอย่างลึกซึ้งจนเกือบจะไม่มีช่วงเวลาทำงานเพื่อสังคม ดังพระภิกษุชาวพม่าชื่อวิจิตรสาราภิวังสะ สะยาดอ สามารถท่องจำพระไตรปิฎกได้ครบทั้ง ๓ ปิฎก ถึงขนาดที่กินเนสบุ้คบันทึกไว้เมื่อปี ๒๕๒๘ ว่าเป็นพระสงฆ์มหัศจรรย์ในเรื่องความจำของมนุษย์ (Human memory) พระวิจิตรสาราภิวังสะมีความจำเป็นเลิศ เพราะท่านสามารถท่องจำพระไตรปิฎก ๑๖,๐๐๐ หน้าจนจบบริบูรณ์ ท่องเป็นตัวอย่างที่หาได้ยากมาก ในด้านความสามารถจดจำของมนุษย์ที่โลกวิทยาศาสตร์ยอมรับ กรณีของพระวิจิตรสาราภิวังสะ สะยาดอ เป็นหลักฐานที่แสดงว่ามนุษย์มีศักยภาพในทางสุตมยปัญญาคือสามารถท่องจำข้อมูลมากมายมหาศาลจากพระไตรปิฎก ๔๕ เล่มโดยไม่ตกหล่น ไม่มีมนุษย์คนใดสมัยปัจจุบันที่จะจำอะไรได้มากมายเท่ากับพระวิจิตรสาราภิวังสะ กินเนสบุ้คจึงบันทึกไว้เป็นการประกาศเกียรติคุณให้ปรากฏสืบไป นี้คือสุดยอดแห่งคันถธุระ สุดยอดแห่งวิปัสสนาธุระมีหลายรูป แต่มีประเพณีแปลกมากที่สืบทอดกันมานับพันปีที่วัดเอนเรียวกุจิ ในประเทศญี่ปุ่น วัดเอนเรียวกุจิ สังกัดนิกายเทนไดซึ่งเป็นนิกายแรกสุดของพระพุทธศาสนาในญี่ปุ่น นิกายอื่นแยกไปจากนิกายเทนไดนี้เป็นส่วนมาก
วัดเอนเรียวกุจิมีพื้นที่ ๓,๕๐๐ ไร่ ตั้งยู่บนภูเขาทั้งลูก ผมได้พบกับเจ้าอาวาสชื่อท่านเอนามิ ท่านนำชมวัดของท่านซึ่งแบ่งเป็นส่วนคามวาสีที่เรียนคันถธุระและส่วนอรัญญวาสีที่ปฏิบัติกัมมัฏฐาน ส่วนที่เป็นอรัญญวาสีมีการฝึกเข้มหลายอย่าง เช่น เดินธุดงค์ ท่านผู้ก่อตั้งเทนไดชื่อท่านไซโจ ได้กำหนดให้ลูกศิษย์ต้องเดินธุดงค์ในป่าอย่างน้อยวันละ ๓๐ กิโลเมตรเป็น ๑๐๐ วันติดต่อกันจึงจะจบหลักสูตร นอกจากนี้ ท่านไซโจยังสั่งว่า ในหอบูรพาจารย์ให้จุดตะเกียงบูชาพระโดยระวังมิให้ไฟดับจนกว่าจะถึงยุคพระศรีอาริย์มาโปรด ศิษย์สำนักนี้เชื่อฟังอาจารย์ดีมาก ศิษย์ทุกรุ่นได้เติมน้ำมันตะเกียงจนไฟไม่เคยดับเลยติดต่อกันมากว่า ๑,๒๐๐ ปี การปฏิบัติเคร่งครัดสุดยอดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ให้พระสงฆ์จำศีลภาวนาสวดมนต์นั่งกัมมัฏฐานอยู่ในสำนักบนยอดเขาโดยห้ามลงจากเขาติดต่อกันเป็นเวลา ๑๒ ปี ประเพณีนี้ได้สืบทอดกันมาตลอดเวลา ๑,๒๐๐ ปีไม่เคยขาดสาย ท่านเจ้าอาวาสบอกว่า ปัจจุบันพระสงฆ์ที่อธิษฐานอยู่บนเขาเป็นเวลา ๑๒ ปีเพียง ๑ ท่านเจ้าอาวาสพาผมเข้าไปภายในสำนักเพื่อพบพระรูปนั้น พอผมก็เข้าไปด้านใน ก็พบว่าภายในบริเวณนี้ห้ามมีขยะแม้แต่ชิ้นเดียว ใบไม้ตกก็ต้องเก็บ ไม่มีเวลาว่าง
ผมได้พบกับพระรูปที่กำลังบำเพ็ญพรต ๑๒ ปี ท่านไม่เคยลงจากเขาเลย ท่านอยู่มาแล้ว ๑๒ ปีและขอยู่ต่ออีก ๑๒ ปี ในรอบที่ ๒ ท่านอยู่มาได้ ๖ ปี รวมเวลาแล้วพระรูปนี้อยู่บนเขานี้ติดต่อกันมา ๑๘ ปี ไม่เคยลงจากเขาเลย ปัจจุบันท่านมีอายุได้ ๔๖ ปี สิ่งที่สังเกตเห็นคือ ผิวของท่านขาวจนซีดเพราะความที่ท่านอยู่ในร่มตลอดเวลา ดวงตาของท่านสดใสไร้ความกังวลเหมือนดวงตาของเด็ก เพราะท่านไม่เคยได้อ่านข่าวหนังสือพิมพ์ ไม่เคยดูโทรทัศน์หรือฟังวิทยุ ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ท่านไม่รู้หรอกว่ามีปฏิวัติรัฐประหารในประเทศไทย ท่านไม่เครียด ไม่กังวล ๆ สวดมนต์และนั่งกัมมัฏฐานเป็นหลัก ท่านอยู่บนเขามา ๑๘ ปี แบบที่เรียกว่าไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ขณะที่ปฏิบัติเข้มอยู่บนยอดเขา พระสงฆ์รูปนี้ไม่มีโอกาสแม้แต่จะรับรู้ปัญหาสังคม พระพุทธศาสนานิกายเซนของญี่ปุ่นเห็นว่าการบำเพ็ญสมาธิที่เรียกว่าฌานหรือเซนจะต้องเป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคม เพราะฉะนั้น เซนสอนให้พยายามนำเอากัมมัฏฐานมาใช้ในชีวิตประจำวัน เราจึงได้ยินเรื่องการจัดดอกไม้แบบเซน พิธีชงชาแบบเซน แม้แต่นักมวยปล้ำซูโม่ ก็นำเอากัมมัฏฐานแบบเซนไปใช้ในการแข่งขันมวยปล้ำ ดังนิทานเซนต่อไปนี้ นักมวยปล้ำซูโม่คนหนึ่งมีรูปร่างใหญ่โตแต่ใจปลาซิว เขาทำท่าจะชนะในการแข่งขัน แต่ตอนท้ายยกก็ถอดใจยอมแพ้ทุกที นักมวยคนนี้ไปหาอาจารย์เซนให้ช่วยสอนฝึกสมาธิให้ชนะมวยปล้ำ อาจารย์ถามว่า "คุณชื่ออะไร" เขาตอบว่า "ผมชื่อสึนามิ ที่แปลว่า คลื่นยักษ์" อาจารย์แนะนำว่า "ถ้าอย่างนั้น คุณนั่งหลับตาหันหน้าเข้าข้างฝา จินตนาการให้เห็นตัวเองเป็นลูกคลื่นยักษ์ซัดฝาผนัง นั่งให้นานที่สุดแล้วมารายงานผล" นายสึนามินั่งหลับตาจินตนาการว่าตัวเองเป็นคลื่นยักษ์ลูกแล้วลูกเล่าซัดฝาผนังตั้งแต่หัวค่ำจนเที่ยงคืนแล้วก็ลุกขึ้นมาเคาะประตูรายงานอาจารย์ว่า "คลื่นซัดกุฏิในวัดพังหมดแล้ว" ที่จริงไม่มีคลื่นยักษ์ แต่เขามองเห็นตัวเองเป็นคลื่นยักษ์ในนิมิตซัดจนวัดพังหมด อาจารย์จึงสอนว่า "ต่อไปนี้ เวลาขึ้นเวทีมวยปล้ำเมื่อไหร่ ให้คุณคิดว่าตัวเองเป็นคลื่นยักษ์ซัดคู่ต่อสู้ลัมกลิ้งไปเลย" นายสึนามิทำตามคำแนะนำของอาจารย์ ไม่มีใครทานพลังคลื่นยักษ์ของเขาได้ เขาได้เป็นแชมป์ซูโม่ของญี่ปุ่น นี้คือตัวอย่างของการประยุกต์ใช้สมาธิในชีวิตประจำวัน กัมมัฏฐานของเซนเป็นกัมมัฏฐานเพื่อ แก้ปัญหาสังคม เซนเป็นตัวอย่างของพระพุทธศาสนาพื่อสังคม
พระพุทธศาสนาในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น ๓ รูปแบบ คือ
๑.พระพุทธศาสนาแบบวิชาการ (Exoteric or Intellectual Buddhism)
เน้นคันถธุระ เรียนแต่ตำราอย่างเดียว แปลหรือท่องพระไตรปิฎก บางครั้งก็หนีสังคมเหมือนอยู่บนหอคอยงาช้าง Exoteric Buddhism แปลว่า พุทธศาสนาตามคัมภีร์หรือ Intellectual Buddhism พุทธศาสนาแบบปัญญาชน เรียนจบอยู่แค่นี้ ไม่ได้คิดห่วงใยสังคม ห่วงแต่วิชาการ ไม่คิดจะไปปฏิบัติศาสนกิจ
๒.พระพุทธศาสนาแบบประสบการณ์ลึกลับ (Esoteric Buddhism)
เน้นวิปัสสนาธุระ ปฏิบัติกัมมัฏฐานตามลำพังเพื่อเข้าถึงรหัสยะคือประสบการณ์ลึกลับเฉพาะตนชนิดที่สื่อให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้ ดังคำกลอนที่ว่า "เข้าฌานนานตั้งเดือนไม่เขยื้อนเคลื่อนกายา ถือศีลกินวาตาเป็นผาสุกทุกคืนวัน"
๓.พระพุทธศาสนาเพื่อสังคม (Engaged Buddhism)
เน้นสิ่งที่ผมเรียกว่า สังคหธุระ คือบริการสังคม มีหน้าที่สงเคราะห์ชาวบ้านด้วยสังคหวัตถุ ๔ เป็นพระพุทธศาสนาที่ห่วงใยประชาชน พระพุทธศาสนาแบบที่ ๓ ไม่อยู่บนหอคอยงาช้างเหมือนแบบที่ ๑ และไม่เข้าถ้ำหลับตาภาวนา ปลีกตัวหนีสังคมเหมือนแบบที่ ๒ แต่เป็นการผสมสังคหธุระให้กับกลมกลืนเข้ากับคันถธุระหรือวิปัสสนาธุระ เช่นเดียวกับการที่พระสิทธัตถะออกผนวช ๖ ปีแรกเก็บตัวแบบประเภทที่ ๑ และที่ ๒ เมื่อตรัสรู้แล้วจึงออกเทศนาสั่งสอนตลอดเวลา ๔๕ พรรษา ช่วงนี้ผมเรียกว่าเป็นพระพุทธศาสนาเพื่อสังคม (Engaged Buddhism) ที่เน้นสังคหธุระคือการพัฒนาสังคม พระพุทธศาสนาในประเทศไทยที่ได้รับการอุปถัมภ์บำรุงจากภาครัฐและเอกชนมาจนทุกวันนี้ก็เพราะพระสงฆ์ไทยในอดีตและปัจจุบันได้ทำสังคหธุระคือออกเผยแผ่เทศนาสั่งสอนสงเคราะห์อนุเคราะห์ประชาชน
ประโยชน์จะรักษาพระพุทธศาสนา
ถ้าพระสงฆ์ไทยเอาแต่เก็บตัวเรียนคัมภีร์แบบประเภทที่ ๑ หรือปลีกวิเวกหลับตาภาวนาแบบประเภทที่ ๒ โดยไม่สนใจการเผยแผ่เทศนาสั่งสอนสงเคราะห์ชาวบ้าน วันหนึ่งข้างหน้าเมื่อภัยมาถึงพระพุทธศาสนาก็จะไม่มีใครออกมาปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาเพราะประชาชนมองไม่เห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาในประเทศไทยอาจจะประสบชะตากรรมเดียวกันกับมหาวิทยาลัยนาลันทาในประเทศอินเดีย มหาวิทยาลัยนาลันทายุคสุดท้ายเน้นหนักไปในการศึกษาแบบไม่ห่วงใยสังคม เน้นการสวดมนต์ภาวนาแบบมันตรยานที่ส่งเสริมไสยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมีกำแพงใหญ่ล้อมรอบเหมือนอยู่บนหอคอยงาช้าง มีข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ที่เก็บจากภาษีของชาวบ้านตามพระราชโองการ คนนอกกำแพงมหาวิทยาลัยไม่ค่อยชอบมหาวิทยาลัยนาลันทาเพราะมหาวิทยาลัยนาเอาแต่เก็บภาษีโดยไม่บริการวิชาการแก่สังคม บันทึกฝ่ายทิเบตจารึกไว้ว่า เมื่อกองทัพมุสลิมบุกปล้นสะดมและเผามหาวิทยาลัยนาลันทาจากไปแล้ว ห้องสมุดบางส่วนยังไม่ถูกไฟไหม้ ชาวบ้านข้างวัดนั่นแหละพากันมาปล้นสะดมและเผามหาวิทยาลัยนาลันทาซ้ำอีกรอบ ห้องสมุดถูกไฟไหม้หมดในรอบนี้ เพราะฉะนั้น มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยจะอยู่รอดในสังคมไทยต่อไปไม่ใช่ด้วยการเก็บตัวเรียนแต่ตำราอยู่บนหอคอยงาช้าง แต่ด้วยการออกไปเทศนาสั่งสอนและทำประโยชน์แก่ชาวบ้าน ประโยชน์จะรักษามหาวิทยาลัยเอง
.............................
เขียนเมื่อ
21 ธันวาคม พ.ศ. 2555 | อ่าน
5743
เขียนโดย
วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร